วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ก็ไม่รู้สินะ “คสช.”จัดการระบอบทักษิณ หรือตัดตอนไม่ให้ถึงกันแน่?

557000008117801ทำไปทำมาดูเหมือนว่า “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)” ภายใต้การนำทัพของ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้ทรงอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ หรือผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านนี้เมืองนี้กำลังติดใจกับภารกิจ “คืนความสุขภาคบันเทิง” เข้าให้เสียแล้ว

เพราะล่าสุดเพิ่งประกาศจัดงานมหรสพกันอีกแล้วครับพี่น้อง โดยงานนี้ใช้ชื่อว่า “มหกรรมปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้คนในชาติ” จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 22-25 ก.ค.57 บริเวณโดยรอบท้องสนามหลวง มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมแนวทางการขับเคลื่อนการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์และคืนความสุขให้คนในชาติ

ถามว่า สาระหลักของงานนี้คืออะไร

ตอบแบบไม่ต้องคิดว่าเลยว่า คือกล้องวงจรปิดความบันเทิง เพราะภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมดังต่อไปนี้ การออกร้านจำหน่ายสินค้าราคาถูก การแสดงดนตรีจากกรมประชาสัมพันธ์ วงดนตรีออร์เคสตราผสมพลเรือนตำรวจทหาร วงดุริยางค์ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ การแสดงที่สื่อถึงความเป็นมาของชาติไทย การแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัยจากทุกภาค การแสดงคนตรีจากเหล่าศิลปินจากค่ายแกรมมี่ อาร์เอส เวิร์คพอยท์ นอกจากนี้ ยังมี กิจกรรมฉายภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร และการสวดขอพรเพื่อความสงบสุขของทุกศาสนาด้วย

ให้ตายเถอะ คสช.!!

หลายคนอุทานด้วยความปลื้มปริ่ม พร้อมสงสัยว่า กิจกรรมทำนองนี้มันจะคืนความสุขที่แท้จริงให้ประชาชนจริงหรือ แล้วก็พาลถามต่อไปอีกด้วยว่า เอ....แล้วงานนี้ใช้งบประมาณสักกี่มาน้อย

และด้วยความเคารพ คงต้องบอกว่า ความจริงไม่ใช่กรณีนี้เท่านั้น ที่สังคมกำลังตั้งคำถามกับ คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากแต่สังคมกำลังตั้งคำถามกับการทำงานของ คสช.ในทุกกรณีหลังให้เวลานับจากการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 มาได้พอสมควร หรือพูดง่ายๆ คือ เมื่อผ่านช่วงเวลาของ “ฮันนีมูนพีเรียด” ไปแล้ว คสช.ได้สร้างผลงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันบ้าง

ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา คสช.ทำเรื่องต่างๆ เอาไว้มากมายจนแทบจะไล่เรียงไม่ไหว ซึ่งหลายคนก็ยกนิ้วให้ด้วยความชื่นชม โดยสามารถแบ่งภารกิจได้ 2 กลุ่มคือ หนึ่ง-กลุ่มปัญหาพื้นฐานที่ข้องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของประชาชน ซึ่งสร้างความเอือมระอาและเป็นปัญหาหมักหมมมาเป็นเวลานาน และสอง-กลุ่มปัญหาระดับนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ กลุ่มเคลื่อนไหวหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ และการปฏิรูปประเทศในทุกองคาพยพ

กลุ่มแรกก็ไล่ตั้งแต่การเข้ามาจัดระเบียบรถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัย สมรภูมิ การควบคุมและแก้ปัญหามาเฟียวินมอเตอร์ไซต์ การปราบพนันฟุตบอล การแก้ปัญหาการจำหน่ายสลายกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา การจัดระเบียบแท็กซี่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ การจัดการกับปัญหาแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย การกวาดล้างและจับกุมอาวุธสงคราม ฯลฯ

ขณะที่กลุ่มที่สองก็ประกอบไปด้วยการจับกุมอาวุธสงครามเพื่อระงับความ รุนแรงทางการเมือง การเรียกบุคคลที่เป็นคู่ขัดแย้งมารายงานตัวเพื่อปรับทัศนคติ การออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีหมิ่นสถาบัน การโยกย้ายข้าราชการในระบอบทักษิณ การเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูการทำงานของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ การจัดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิรูปพลังงาน เป็นต้น

แต่ปัญหาของ คสช.ที่กำลังคืนความสุขให้สังคมไทยในเวลานี้ก็คือ ทำไปทำมาทุกกลุ่มปัญหาที่ คสช.เข้ามาจับดูเหมือนจะหยุดลงตรงกลางทางเสียเกือบทั้งหมดหรือจะว่าทั้งหมด ก็คงจะได้ เพราะยังไม่เห็นเรื่องไหนที่สามารถ “จับปลาตัวใหญ่” มาลงโทษให้เห็นได้สักที เห็นแต่ “ปลาซิวปลาสร้อย” ทั้งๆ ที่ถ้าจะว่าไปแล้ว ก็มีข้อมูลและหลักฐานที่น่าจะเพียงพอให้สาวไปถึงตัวผู้บงการขนาดใหญ่ได้ไม่ยากเย็นนัก

ยกตัวอย่างกรณีโครงการรับจำนำข้าว เวลานี้ก็ได้ไปตรวจสต๊อก ไปตรวจสอบคุณภาพของข้าว ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนรับรู้ปัญหาอยู่แล้ว แต่ที่ประชาชนอยากเห็นก็คือการลากคออ้ายอีที่โกงมาลงโทษ โดยที่มิได้หยุดและตัดตอนอยู่ที่โรงสี หากแต่ต้องไปให้ถึงตัวการใหญ่

คสช.ไม่รู้หรือว่า ใครคือมาเฟียใหญ่ที่แสวงหาผลประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว

แน่นอน เสียเปี๋ยงเป็นแค่เพียงผู้ร่วมกระบวนการเท่านั้น เพราะ “ปลาใหญ่” ของมหกรรมการโกงที่แท้จริงคือ “เจ๊ ด.” และบรรดานักการเมืองในสังกัดที่ร่วมกันงาบ

ทั้งนี้ ตราบใดที่ไม่สามารถจับปลาใหญ่ได้ ความหลาบจำก็ยังไม่บังเกิด การคืนความสุขที่แท้จริงให้กับประเทศไทยก็จะไม่บรรลุผล เพราะอ้ายอีเหล่านี้นี่แหละที่สร้างความพินาศฉิบหายให้กับบ้านนี้เมืองนี้

หรือกรณี พล.ท.มนัส เปาริก อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 เพื่อนรัก ตท.10 ของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลทหารออกหมายจับในคดีครอบครองอาวุธสงคราม คสช.ไม่ทราบจริงๆ หรือว่า ใครคือคนที่อยู่เบื้องหลัง ใครคือคนที่สั่งการ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่บิ๊กหยอยจะดำเนินการเป็นการส่วนตัวกับพวกพ้องกระจิ๊บก ระจ้อยไม่กี่คน

เช่นเดียวกับกรณีการปฏิรูปพลังงานและบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ที่ คสช.กำลังทำให้ประชาชนผู้รักชาติรักแผ่นดินสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตั้ง “ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์” คนของพรรคประชาธิปัตย์และลุงกำนันแห่ง กปปส.มานั่งเป็นประธานบอร์ด ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขรมทั้งแผ่นดินด้วยคำถามขั้นพื้นฐานว่า แล้วคนไทยจะมีโอกาสได้ใช้น้ำมันหรือพลังงานใน ราคาที่สมเหตุสมผลกับเขาบ้างหรือไม่

ไม่เพียงแต่เรื่องใหญ่ๆ เท่านั้น หากแต่ลุ่มปัญหาพื้นฐานที่ข้องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของประชาชน ถ้าจะว่าไปแล้วก็ดูเหมือนจะหยุดลงอยู่แค่ “ปลาตัวเล็ก” เหมือนกัน เพราะมิได้เห็นว่าจะขยายผลไปสู่ “ปลาตัวใหญ่” เลยแม้แต่น้อย

กรณีการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา สุดท้าย คสช.ก็ไม่สามารถทำให้ขายได้ในราคา 80 บาทเหมือนกันทั่วประเทศ แต่มีบางจุดเท่านั้นที่ขายได้ในราคานี้ ถามว่า แล้ว คสช.ไม่รู้หรือว่า ใครคือผู้ที่ทำให้ไม่สามารถขายได้ในราคานี้ได้ ซึ่ง คสช.ก็ไม่สามารถอ้างได้ถึงเรื่องสัญญาที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลทำกับยี่ ปั๊ว เพราะเวลานี้ คสช.คือองค์รัฏฐาธิปัตย์ที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศ คสช.คือกฎหมายของประเทศ จะออกประกาศอะไรหรือล้มล้างอะไรก็ได้ในบ้านนี้เมืองนี้

หรือกรณีวินมอเตอร์ไซค์ บ่อน โต๊ะบอล มือปืน แท็กซี่สุวรรณภูมิ ไม้เถื่อน แรงงานเถื่อน ฯลฯ ถามจริงๆ คสช.ไม่รู้หรือว่า ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นเพราะ “คนมีสี”

ด้วยความเคารพและกริ่งเกรง สิ่งที่ คสช.ทำในเวลานี้ กำลังทำให้ประชาชนเข้าใจผิด เพราะการที่ คสช.ห้ามแม้กระทั่งการวิพากษ์วิจารณ์หรือการโจมตีฝ่ายการเมืองตรงกันข้าม ย่อมทำให้สังคมโดยรวมไม่เข้าใจว่า อะไรคือปัญหาที่แท้จริงของประเทศ

เพราะ คสช.บอกเพียงแค่ว่า เหตุที่ต้องทำรัฐประหารก็เพราะเพื่อป้องกันการจลาจล การใช้ความรุนแรงจากทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ทั้งๆ ที่ต้นตอของปัญหาทั้งหลายทั้งปวงคือ “ระบอบทักษิณ”

คสช.ไม่เคยบอกว่า ระบอบทักษิณทำอะไรกับบ้านเมืองบ้าง

คสช.ไม่เคยบอกว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์มีปัญหากับชาติบ้านเมืองที่ตรงไหน

หรือว่า ระบอบทักษิณไม่ใช่ปัญหาของประเทศไทยในทัศนะของ คสช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้เป็นประธาน คสช.จริงๆ

เพราะถึงวันนี้ยังไม่มีการถอดยศ ไม่มีการเพิกถอนหนังสือเดินทาง ไม่มีหมายจับ และไม่มีคำตอบจากผู้มีอำนาจว่าทำไมจึงไม่มีอะไรกระทบระบอบบักเหลี่ยม ทุกอย่างเป็นไปเหมือนเดิม

แถมล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง บุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีต นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์รูปพ่อลงในอินสตาแกรมของตนเอง โดยภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ยืนถ่ายรูปคู่ข้างป้ายสีดำและได้ทำมือชื่อไปที่ตัวหนังสือภาษอังกฤษคำว่า "wait" ซึ่งมีแปลว่า"รอ"

นอกจากนั้น น.ส.แพทองธาร ยังได้โพสต์ข้อความใต้ภาพอีกว่า "I′m in no rush" ซึ่งแปลว่า "ฉันไม่รีบ" ซึ่งภาพดังกล่าวได้ถูกแชร์บนโลกออนไลน์ พร้อมทั้งคำถามว่าภาพนี้สื่อความหมายอย่างไร หรือ มีนัยยะอะไรแอบแฝงหรือไม่

รอยยิ้มของ นช.ทักษิณขณะกำลังยืนชี้ไปที่คำว่า wait และการโพสต์คำว่า “I′m in no rush” ซึ่ง แสดงความมั่นใจเต็มที่มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พวกเขามิได้เดือดเนื้อร้อนใจกับการรัฐประหาร เพราะมั่นใจว่าในอีกไม่ช้าก็จะเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง และระบอบทักษิณก็จะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง

....ก็ไม่รู้สินะ

Source: ก็ไม่รู้สินะ “คสช.”จัดการระบอบทักษิณ หรือตัดตอนไม่ให้ถึงกันแน่?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น