วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

“ประภัสร์”อำมหิต!

“ประภัสร์”อำมหิต! ยิ่งกว่าไอ้หื่นฆาตกร คสช.จะเชือดหรืออุ้มไว้?


เหตุสะเทือนใจคนไทยทั้งชาติจากกรณีไอ้หื่นจอมโหด “วันชัย แสงขาว” สัตว์นรกในคราบมนุษย์ ข่มขืน “น้องแก้ม” บนขบวนรถไฟตู้นอนเที่ยว 174 ตู้ 3 สุราษฎร์ธานี-กรุงเทพฯ และโยนเหยื่อทิ้งทั้งที่ยังมีชีวิต จนกลายเป็นร่างที่ไร้วิญญาณอยู่ริมทางรถไฟ

กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 117 ปีของการรถไฟไทยทำให้คนจำนวนมากถามหาความรับผิดชอบจาก ประภัสร์ จงสงวนผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย

ไม่ใช่เพียงแค่เหตุเกิดบนรถไฟที่อยู่ในกำกับดูแลของประภัสร์เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องจรรยาบรรณและคุณธรรมของตัวผู้บริหารที่ให้ข้อมูลบิดเบือน กับสังคมด้วยการโยน “เผือกร้อน”ออกจากตัวอ้างว่า

ผู้ก่อเหตุไม่ใช่เจ้าหน้าที่การรถไฟ แต่เป็นพนักงานของบริษัทเช่าช่วงที่มารับงานจากการรถไฟซึ่งถูกจับได้ทันควัน ว่า “โกหก”โดยมีการนำหลักฐานการประกาศผลการคัดเลือกเป็นลูกจ้างเฉพาะงาน ของกองโดยสารฝ่ายการเดินรถการรถไฟฯ โดยมีชื่อ วันชัย แสงขาว อยู่ในรายชื่อลำดับที่ 43 มัดอย่างดิ้นไม่หลุดว่า

ฆาตกรอำมหิตรายนี้คือเจ้าหน้าที่ของการรถไฟฯ ไม่ใช่บริษัทกล้องวงจรปิดที่มารับงานจากการรถไฟฯ

ความจริง ประภัสร์ ควรเป็นชื่อแรกๆ ที่ คสช.ย้ายออกจากตำแหน่งเพราะประวัติชัดเจนว่าแดงแจ๋ รับใช้ระบอบทักษิณมาอย่างยาวนานโดยมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับ อุกฤษ มงคลนาวิน ที่ยังปวารณาตนเป็นลิ่วล้อทักษิณแม้จะแก่เฒ่ามากแล้ว

ประภัสร์เริ่มชีวิตการทำงานในเมืองไทยที่สำนักกฎหมายของอุกฤษ กระทั่งมีโอกาสได้เข้าทำงานในการทางพิเศษแห่งประเทศไทยตามคำชวนของ จุลสิงห์ วสันตสิงห์ อดีตอัยการสูงสุด ที่มีผลงานยอดเยี่ยมในการตัดตอนคดีของ “ตระกูลชิน”ตั้งแต่การไม่ยื่นฎีกาคดีเลี่ยงภาษีกว่า 500 ล้านของ “คุณหญิงพจมาน”จนทำให้คดีสิ้นสุด ไม่ฟ้อง “พานทองแท้ ชินวัตร”คดีทุจริตปล่อยกู้แบงก์กรุงไทยกว่า 9 พันล้านบาท และมีผลงานทิ้งทวนก่อนเกษียณด้วยการสั่งไม่ฟ้อง “ทักษิณ ชินวัตร”ในข้อหาก่อการร้าย

ประภัสร์เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานขึ้นชั้นเป็น ผู้ว่าการ รฟม.เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2540 ในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งมีทักษิณ เป็นรองนายก และกินตำแหน่งนี้ยาวนานจนถึงปี 2551 ก็ผันตัวเองออกมาสวมเสื้อพลังประชาชน พรรคการเมืองของทักษิณ ลงสมัคร ผู้ว่า กทม. แต่พ่ายแพ้ให้แก่ อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์

นับจากนั้นมาก็ชัดเจนว่า ประภัสร์คือหนึ่งในคนที่ทักษิณสั่งได้ โดยกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในยุคที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับการโปรโมตให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก่อนที่จะลาออกไปลงสมัครเป็นผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และได้รับการแต่งตั้งจากครม.ยิ่งลักษณ์ เมื่อวันที่ 12 พ.ย.2555 จนถึงปัจจุบัน

ที่น่าสนใจคือการเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟฯ ของประภัสร์ ถูกแฉโดย นคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ว่า มีการทำผิดกฎหมายการรถไฟมาตรา 37 และกฎหมายคุณสมบัติพนักงานรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากประภัสร์ขาดคุณสมบัติเพราะเคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองและยังไม่ใช่ ผู้บริหารองค์กรที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาทตามที่กำหนดไว้ด้วย

เนื่องจากผลงานการบริหาร รฟม.พบว่าในปี 2551 มีรายได้เพียงแค่ 529 ล้านบาทเท่านั้น พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งประภัสร์เป็นผู้ว่าการรถไฟเพื่อให้มารับงานพัฒนาพื้นที่การรถไฟ มูลค่า 1.5 แสนล้านบาทและแผนพัฒนาพื้นที่มักกะสันอีก 3 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ ประภัสร์ยังเป็นคนที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการผลักดันกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้าน ลากคนไทยเป็นหนี้นานครึ่งศตวรรษ โดยถือได้ว่าเป็นลูกคู่คนสำคัญของชัชชาติ สิทธิพันธ์ อดีต รมว.คมนาคม ผู้แข็งแกร่งที่สุดในสามโลก แต่เข่าอ่อนในวันที พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศยึดอำนาจ

ประภัสร์ร่วมเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เงินกู้สองล้านล้านมีบทบาทสำคัญมากกว่ารัฐมนตรีหลายคนใน ครม.ยิ่งลักษณ์ ถึงขนาดชัชชาติตอบไม่ได้ก็จะเรียกหาประภัสร์ให้เป็นคนชี้แจงแทน

ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ.สร้างหนี้ขัดรัฐธรรมนูญ ประภัสร์ เป็นหนึ่งในขี้ข้าของยิ่งลักษณ์ที่ออกมากล่าวโทษศาลรัฐธรรมนูญว่าทำให้การ พัฒนาระบบรางต้องล่าช้าออกไปอีก 20 ปีเพราะการพัฒนาต้องใช้เงินกู้ด้วยกฎหมายพิเศษไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว จากระบบงบประมาณปกติ

เมื่อมีการยึดอำนาจ คสช.ตั้งคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ หรือ คตร. มี พล.ท.อนันตพร กาญจนรัตน์ ปลัดบัญชีกองทัพบก เป็นประธาน มีการพิจารณาทบทวน 10 โครงการในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก่อนจะมีมติยกเลิกโครงการบูรณะหัวรถจักรดีเซล ของการรถไฟฯ วงเงิน 3,300 ล้านบาท เนื่องจากไม่คุ้มค่ากับงบประมาณและให้นำเงินส่วนนี้ไปซื้อหัวรถจักรใหม่แต่ ให้ปรับลดวงเงินลง

หลายคนเก็งว่า ประภัสร์ น่าจะถูกเด้งเพราะการสั่งยกเลิกโครงการของการรถไฟฯ น่าจะมีกลิ่นไม่ดีเกี่ยวกับการแสวงหาผลประโยชน์รวมอยู่ด้วยแต่เขาก็ “หนังเหนียว”นั่งในตำแหน่งนี้ได้ตามปกติ

ยิ่งเมื่อตรวจสอบลึกลงไปกลับพบว่าประภัสร์มีความคิดที่จะยกเลิกการ ซ่อมหัวรถจักรเพื่อจัดซื้อใหม่อยู่แล้ว มติ คตร.จึงไม่มีอะไรพลิกโผที่ประภัสร์วางแผนไว้ ไม่แตกต่างจากการยกเลิกซื้อแท็บเล็ต เพราะกระทรวงศึกษาในยุคจาตุรนต์ฉายแสงเป็น รมว. ก็ตั้งท่าจะโละทิ้งเปลี่ยนมาทำโครงการสมาร์ทคลาสรูม หรือห้องเรียนอัจฉริยะอยู่แล้ว และขณะนี้ คสช.ก็กำลังพิจารณาโครงการนี้เช่นเดียวกัน

การเก็บประภัสร์ไว้ในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟจึงทำให้ถูกตั้งข้อสงสัย ว่าเพื่อให้เดินหน้าต่อในการพัฒนาระบบรางที่จะมีการจัดสรรงบประมาณรองรับ หลายแสนล้านบาทตามแผนเดิมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์หรือไม่เพราะแม้ว่า คสช.จะไม่กล้าสวนกระแสเดินหน้ารถไฟความเร็วสูง แต่สิ่งที่จะผลักดันอย่างแน่นอนคือ ยุทธศาสตร์ด้านคมนาคมวงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท โดยหลายแสนล้านบาทในงบก้อนนี้คือการพัฒนาระบบรางในความรับผิดชอบของการรถไฟ

หากไม่มีลับลมคมในก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ย้าย ประภัสร์ ออกจากตำแหน่งเพราะนอกจากเป็นขี้ข้าตัวจริงของทักษิณแล้วยังแสดงให้เห็นถึง ความไร้ซึ่งมโนธรรมอย่างยิ่งจากกรณีโกหกสังคมในเรื่องฆาตกรใจทราม ว่าไม่ใช่คนของการรถไฟฯ อีกด้วย

Source: “ประภัสร์”อำมหิต!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น